ฟิล์มกรองแสงที่ยังมีสภาพใหม่หรือพร้อมใช้งานอยู่จะมีลักษณะที่ไม่ร่อน ไม่ลอก ไม่มีฟองอากาศ สีของฟิล์มกรองแสงจะไม่ซีดไม่เพี้ยน แต่ถ้าฟิล์มกรองแสงที่เสื่อมสภาพก็จะมีลักษณะที่ตรงข้ามกันหรือสามารถสังเกตง่ายๆ ดังนี้
มีอาการร่อน
โดยปกติแล้วฟิล์มกรองแสงจะเริ่มลอกจากบริเวณมุมกระจก ซึ่งอาการการร่อนจะมีผลต่อการมองทัศนวิสัยในการขับขี่ได้นะครับ แต่ถ้าหากฟิล์มกรองแสงร่อนไม่มาก ก็จะไม่ส่งผลต่อการมองทัศนวิสัยมากนัก ในลักษณะที่ฟิล์มมีการร่อนไม่มากก็ยังสามารถใช้งานไปก่อนได้ครับ แต่ถ้ามีอาการร่อนหนักมากแนะนำให้รีบเปลี่ยนทันที บางท่านนำกาวมาทาแปะเอาไว้ ซึ่งวิธีนี้แนะนำว่าอย่าทำเด็ดขาดนะครับ เพราะจะทำให้กระจกเสียและลอกยากเมื่อถึงเวลาเปลี่ยนจริงๆ
เกิดฟองอากาศ
ลองสังเกตความเปลี่ยนแปลงของฟิล์มดูครับว่ามีการเกิดฟองอากาศที่เป็นจุดๆ หรือไม่ หรือมีลักษณะที่เป็นรอยยับย่นหรือไม่นั่นเองครับ และสิ่งที่สำคัญอย่าตัดหรือไปเจาะตรงที่เป็นฟองอากาศนะครับ เพราะกระจกอาจเกิดความเสียหายได้
ซีด และมีสีเพี้ยน
สังเกตได้จากสีของฟิล์มกรองแสงซึ่งจากเดิมจะมีสีดำและกลายเป็นสีม่วง เนื่องจากถูกแสงแดดเป็นประจำ ซึ่งอาจจะเป็นเฉพาะบางจุดเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ควรรีบทำการเปลี่ยนนะครับ เนื่องจากจะทำให้เกิดความร้อนภายในรถ อีกทั้งยังส่งผลต่อการมองเห็นที่อาจคลาดเคลื่อนได้
ร้อนผิดปกติ
ถ้าเกิดความร้อนในห้องโดยสารผิดปกติอาจจะมาจากฟิล์มกรองแสงหมดอายุได้ สามารถทดสอบได้ด้วยการนำมือลองแตะที่กระจกบริเวณด้านในรถเพื่อสัมผัสกับเนื้อฟิล์มกรองแสงหรือหากเปิดแอร์ในอุณหภูมิที่ใช้งานปกติแล้วรู้สึกยังคงมีความร้อนที่ผิดปกติไปจากเดิมหรือห้องโดยสารภายในยังมีความร้อนอยู่ก็สรุปไปว่าฟิล์มกรองแสงหมดอายุนั่นเองครับ
วิธีสังเกตฟิล์มกรองแสงเสื่อมหรือหมดอายุสามารถสังเกตได้ง่ายๆ ด้วยตนเองครับ หากไม่มั่นใจแนะนำให้ไปร้านหรือศูนย์บริการที่มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องฟิล์มกรองแสงเพื่อทำการตรวจเช็คให้แน่ใจว่ายังสามารถใช้งานไปต่อหรือไม่ แต่ถ้าหากฟิล์มกรองแสงเสื่อหรือหมดอายุแล้วก็อย่าลืมทำการเปลี่ยนนะครับ ผู้ที่ใช้งานรถยนต์อยู่เป็นประจำยิ่งต้องสังเกตเลย แต่ถ้าผู้ที่ไม่ค่อยได้นำรถยนต์ออกมาใช้แต่จอดไว้ตากแดดก็อาจจะมีส่วนทำให้เสื่อมหรือหมดอายุได้เร็วเช่นกันนะครับ เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของตัวเราเองอย่าชะล่าใจไปนะครับ