ปัญหาที่ตามมากับฝนเมื่อตกหนักแล้วยิ่งตกแบบติดต่อกันหลายวันจนทำให้เกิดน้ำท่วมขังบนท้องถนนทำให้ตัวรถเกิดความเสียหาย หรือถ้าถึงขั้นรุนแรงเลยก็อาจเกิดน้ำหลากเข้าไปในบ้านได้ครับ และสำหรับวิธีตรวจเช็คเบื้องต้นว่าน้ำท่วมรถอยู่ในระดับใดและข้อปฏิบัติควรทำอย่างไรเมื่อรถถูกน้ำท่วมเสียหาย มาดูกันเลยค้าบบ
ความเสียหายระดับที่ 1
น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์แต่ไม่ถึงเบาะที่นั่ง
ระดับน้ำท่วมสูงถึงพื้นรถยนต์ แต่ไม่ถึงระดับของเบาะนั่งนั้นมีโอกาสสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์และชิ้นส่วนของรถยนต์ ดังนี้
- ระบบเบรกทั้ง 4 ล้อ และผ้าเบรก
- ห้องเครื่องยนต์ คลัทช์คอมแอร์ สายพานแอร์ และไดสตาร์ท
- พรมภายในห้องโดยสาร
ข้อปฏิบัติเบื้องต้น
การที่ล้อและอุปกรณ์ช่วงล่างต่างๆ ถูกแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดสนิมใต้ท้องรถได้นะครับ รวมถึงระบบเบรกของทั้ง 4 ล้อ และผ้าเบรกก็ควรทำการตรวจเช็คให้เรียบร้อย ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบไดสตาร์ทว่าได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด สำหรับไดสตาร์ทได้ถูกออกแบบมาให้มีความทนทานแต่เมื่อได้รับความเสียหายจากน้ำเข้าก็สามารถก่อปัญหาแก้รถในระยะยาวได้นั่นเองครับ
นอกจากนี้หากพื้นพรมที่รถเกิดเปียกชื้นแสดงว่าน้ำได้มีการซึมเข้ามาภายในรถ ให้ทำการถอดพรมออกไปซักและตากแดดให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันการเกิดกลิ่นอับชื้นนะครับ และอย่าลืมล้างภายนอกรถให้สะอาดด้วยนะโดยเฉพาะใต้ท้องรถหรือตามซุ้มล้อต่างๆ เพื่อล้างคราบโคลนสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ภายใต้ท้องรถครับ
ความเสียหายระดับที่ 2
ระดับน้ำท่วมเข้าถึงเบาะนั่ง
ระดับน้ำท่วมสูงถึงเบาะนั่งนั้นมีโอกาสสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์และชิ้นส่วนของรถยนต์ ดังนี้
- ห้องเครื่องยนต์ กล่อง ECU แบตเตอรี่ พัดลมระบายความร้อน เครื่องยนต์ น้ำมันเครื่อง ระบบเกียร์ น้ำมันเกียร์ ขั้วสายไฟต่างๆ พวงมาลัยไฟฟ้า EPS
- ไฟหน้าและไฟท้าย
- เบาะนั่ง
- แผงวงจรประตู สวิตช์แผงประตู และระบบเซ็นทรัลล็อก
- ชุดตู้แอร์
- ห้องสัมภาระ
ข้อปฏิบัติเบื้องต้น
สำหรับในกรณีที่น้ำท่วมสูงถึงเบาะนั่งนั้นให้นำรถขึ้นจากน้ำก่อน เมื่อนำขึ้นมาแล้วห้ามสตาร์ทรถหรือบิดกุญแจไปที่ ON โดยเด็ดขาด เพราะระดับความสูงของน้ำจะสร้างความเสียหายภายในห้องเครื่องยนต์ ดังนั้นควรถอดแบตเตอรี่ออกในทันทีนะครับ พร้อมกับตรวจสอบอุปกรณ์อื่นๆ อย่างเช่นพัดลมระบายความร้อน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับการถ่ายเทความร้อนของห้องเครื่องหรือกล่อง ECU ที่เป็นเสมือนสมองกลไฟฟ้าควบคุมเครื่องยนต์นั่นเองครับ และที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือระบบเกียร์ ระบบของเหลว ระบบหล่อลื่นต่างๆ ของรถ และควรทำการไล่ความชื้นออกจากตัวรถครับ
ความเสียหายระดับที่ 3
ระดับน้ำท่วมถึงคอนโซลหน้าหรือมิดหลังคา
การโดนน้ำท่วมระดับที่สูงถึงคอนโซลหน้าหรือมิดหลังคา คือระดับที่สร้างความเสียหายสูงที่สุด ซึ่งมีโอกาสสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์และชิ้นส่วนของรถยนต์ ดังนี้
- ตัวถังสีภายนอก
- ไฟหน้าและไฟท้าย
- ห้องเครื่องยนต์ ที่กรองอากาศ ไดชาร์จ ชุดหัวเทียน มอเตอร์ปัดน้ำฝน แผงคอนเดนเซอร์แอร์ หม้อน้ำ
- ของเหลวต่างๆ ที่สำคัญในอุปกรณ์ที่น้ำท่วมถึงอย่างเช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก น้ำมันพวงมาลัย และน้ำมันเชื้อเพลิงในถัง
- อุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องโดยสารอย่างเช่น ชุดควบคุมอุณหภูมิแบบดิจิตอล วิทยุ คอนโซลหน้า ระบบถุงลมนิรภัย ระบบไฟส่องสว่างต่างๆ ผ้าหลังคา ม่านถุงลม ซันรูฟ ช่องแอร์ เป็นต้น
- มอเตอร์พัดลมแอร์
- หน้าปัดเรือนไมล์
- ขอบยางประตู
ข้อปฏิบัติเบื้องต้น
ความเสียหายในระดับที่ 3 นี้จะเป็นระดับที่สร้างความเสียหายเป็นอย่างมาก เมื่อนำรถขึ้นจากน้ำแล้วห้ามทำการสตาร์ทรถหรือบิดกุญแจไปที่ ON โดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายอย่างมากและระบบไฟฟ้าอาจเกิดลัดวงจรได้นะครับ ให้ทำการรีบถอดแบตเตอรี่ออกในทันทีเลยนะครับ และหากพบว่ามีน้ำเข้าไปควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ จากนั้นให้รีบนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจเช็คของเหลวภายในรถอย่างเช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก น้ำหล่อเย็นหรือสารหล่อลื่นอย่างจาระบี และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่แผงหน้าปัดและคอนโซลจะต้องถอดมาทำความสะอาดและเป่าให้แห้งทั้งหมด
เมื่อรถโดนน้ำท่วม สามารถเคลมประกันได้หรือไม่?
เหตุการณ์น้ำท่วมเป็นเหตุการณ์ที่ใครๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริงๆ ในกรณีนี้หลายท่านคงสงสัยว่าจะสามารถเคลมประกันได้หรือไม่ ซึ่งปกติแล้วประกันภัยรถยนต์จะมีความคุ้มครองเรื่องภัยธรรมชาติรวมอยู่ด้วย ซึ่งความเสียหายที่เกิดจากการน้ำท่วมมีทั้งเสียหายโดยชิ้นเชิง และเสียหายบางส่วน ซึ่งการจ่ายค่าสินไหมทดแทนรวมถึงการให้ความคุ้มครองซ่อมแซมรถจะแตกต่างกันไปด้วยนะครับ
เสียหายโดยสิ้นเชิง : คือสภาพที่ถูกน้ำท่วมรถมิดคันหรือเกินช่วงคอนโซลหน้า ซึ่งสร้างความเสียหายจนไม่สามารถซ่อมแล้วกลับมาให้อยู่ในสภาพเดิมได้ ทางบริษัทประกันภัยจะเสนอคืนทุนประกันทดแทนให้ประมาณ 70-80% ของทุนประกันเพื่อเป็นการรับโอนหรือซื้อซากรถนั้นแทนครับ
เสียหายบางส่วน : จะเป็นรถที่ได้รับความเสียหายเพียงบางส่วน และบริษัทประกันรถจะมองว่ายังมีสภาพที่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ซึ่งทางบริษัทจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถให้ทั้งหมดหรือตกลงชดใช้เป็นเงินจำนวนเท่ากับราคาซ่อมที่ประเมิน
กรณีใดที่ประกันจะจ่ายหรือไม่จ่ายให้
กรณีที่ประกันจ่าย
- เกิดจากภัยธรรมชาติจนน้ำเข้ารถจนได้รับความเสียหายอย่างเช่น จอดรถไว้หน้าบ้านแล้วเกิดฝนตกอย่างหนักจนเกิดน้ำท่วมหรือเกิดน้ำหลากจนไม่สามารถย้ายรถหนีได้ทันครับ
- สถานการณ์รถติดอยู่บนถนนและไม่สามารถขยับรถหนีได้ จนทำให้เกิดน้ำท่วมตัวถังรถและได้รับความเสียหาย สถานการณ์แบบนี้จึงถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัย
กรณีที่ประกันไม่จ่าย
- เจ้าของรถเกิดความประมาทหรือจงใจให้รถนั้นตกอยู่ในสถานการณ์น้ำท่วมจนเกิดความเสียหายอย่างเช่น การขับรถเข้าไปในพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมส่งผลทำให้รถเกิดความเสียหาย โดยที่มีการประกาศแจ้งเตือนล่วงหน้าหรือมีป้ายเตือนแล้วนั่นเองครับ
- สตาร์ทรถเมื่ออยู่ในสภาพที่ถูกน้ำท่วมมาแล้ว เพราะพิจารณาได้ว่าผู้เอาประกันมีเจตนาสตาร์ทรถ ทั้งที่ยังทำให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายอีกด้วย
เกิดความเสียหายจากน้ำท่วม
สามารถเคลมประกันได้หรือไม่?
สำหรับรถที่เกิดความเสียหายและเข้าข่ายที่สามารถเคลมประกันได้นั้น มีขั้นตอนดังนี้ครับ
- ถ่ายรูปรถในขณะที่ยังมีน้ำท่วมขัง โดยถ่ายให้เห็นป้ายทะเบียนรถด้วยนะครับ (ในกรณีที่ไม่ได้ท่วมจนมิดคัน) เพื่อใช้เป็นหลักฐานว่ารถคันนี้เกิดเหตุจริงๆ พร้อมกับเอกสารเกี่ยวกับตัวรถและกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ให้พร้อม ซึ่งควรมีฉบับสำรองเตรียมเอาไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินนะครับ เอกสารเกี่ยวกับเจ้าของรถอย่างเช่น ใบขับขี่ สำเนาบัตรประชาชน
- โทรแจ้งบริษัทประกันที่ทำประกันรถยนต์เอาไว้ให้มาตรวจสอบเพื่อประเมินความเสียหาย
- เลือกศูนย์บริการที่ต้องการนำรถเข้าซ่อม เพื่อทำการประเมินราคา
- เอการอนุมัติจากบริษัทประกันภัยที่ทำอยู่
- เมื่อเอกสารผ่านการอนุมัติแล้ว ก็สามารถนำรถเข้าซ่อมที่ศูนย์บริการตามที่ได้เลือกไว้ได้เลยครับ
จะเห็นได้ว่าการทำประกันภัยรถยนต์เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามหรือมองว่าไม่จำเป็นนะครับ เพราะถ้าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นมาอย่างน้อยประกันก็ช่วยเราได้นั่นเองครับ หากสนใจทำประกันภัยรถยนต์ที่ ยูไนเต็ด ฮอนด้า ติดต่อทาง Line : @unitedhonda Facebook : United Honda Automobile หรือโทร 02-432-2222 ได้เลยครับ